ค้นหาบล็อกนี้

วันจันทร์ที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2558



อาหารอันตรายต่อสุขภาพ

อาหารอันตราย

เราทุกคนต่างรู้ว่าการรับประทานอาหารที่ดีต้องรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ แต่ก็ยังมีคนจำนวนไม่น้อยที่ไม่ได้ปฏิบัติตาม ดังนั้นผลที่ตามมาก็คือ ร่างกายที่อ่อนแอและมีแต่โรคภัยไข้เจ็บ ไม่แข็งแรงสมบูรณ์พอที่จะต่อสู้กับโรคร้ายต่าง ๆ ได้ อีกทั้งอาหารการกินในยุคปัจจุบันนี้ก็เปลี่ยนแปลงไปจากสมัยก่อนอย่างมาก ซึ่งส่วนใหญ่แล้วก็เป็นไปในทางที่ไม่ดีเท่าที่ควร เพราะอาหารการกินในปัจจุบันนี้มีปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคร้ายต่าง ๆ มากขึ้นจนน่ากลัว

อาหารที่มีโทษต่อร่างกาย

  1. สเต็ก คุณรู้หรือไม่ว่าการจะรับประทานสเต็กได้อย่างปลอดภัยนั้นต้องนำมาทำให้สุกเสียก่อน แต่ความสุกของสเต็กนั้นมีอยู่ 5 ระดับ ตรงนี้แหละคือประเด็นสำคัญ เพราะความร้อนจะช่วยฆ่าเชื้อโรคที่แฝงมากับเนื้อสัตว์ได้ และมีความปลอดภัยลดหลั่นกันไปในแต่ละระดับ อย่างระดับที่ 1 ซึ่งเราจะเรียกว่า แรร์ (rare) เป็นระดับที่ถือว่าเสี่ยงต่อสุขภาพมากที่สุด เมื่อรับประทานเข้าไปก็อาจจะก่อให้เกิดโรคพยาธิ และโรคเกี่ยวกับระบบการย่อยและทางเดินอาหารได้ เพราะระบบการย่อยของร่างกายคนเราไม่สามารถที่จะย่อยอาหารดิบ ๆ ได้ง่าย ซึ่งกว่าร่างกายจะขับออกมาก็คงต้องใช้เวลาประมาณ 2 วัน คิดดูแล้วกันว่าร่างกายคุณจะทำงานหนักแค่ไหน ส่วนระดับ 2 ที่เรียกว่า มีเดียมแรร์ (medium rare) ระดับนี้จะสุกขึ้นมาหน่อย และระดับ 3 ที่เรียกว่า มีเดียม (medium) ซึ่งเป็นระดับที่สุกมากยิ่งขึ้นแต่ก็ยังดิบอยู่ คุณก็ยังคงเสี่ยงกับพยาธิและเชื้อโรคอยู่ดี ส่วนในระดับ 4 หรือ มีเดียมเวลล์ (medium well) โดยรวมแล้วระดับนี้เนื้อจะเริ่มสุกเกือบทั้งหมด ความปลอดภัยจะมีมากขึ้นมาหน่อย แต่ก็ยังไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ ดังนั้นคุณจึงไม่ควรเสี่ยงกับระดับเหล่านี้ แต่ควรหันมารับประทานในระดับ 5 หรือ เวลลดัน (well don) แทน เพราะในระดับนี้เนื้อจะสุกทุกส่วนแล้ว และถือว่าเป็นระดับที่ปลอดภัยต่อร่างกายมากที่สุด
สเต็ก

  1. ไส้กรอก ตามท้องตลาดจะมีไส้กรอกอยู่หลายชนิด แต่ละชนิดก็มีส่วนผสมที่แตกต่างกันไป รวมไปถึงส่วนผสมที่เป็นวัสดุสังเคราะห์ที่รวมอยู่ด้วยหลายชนิด เช่น สารกันบูดที่มีไว้เพื่อยืดอายุของไส้กรอกให้นานยิ่งขึ้น, สารไนไตรท์ ที่ช่วยให้ไส้กรอกเหนียวนุ่ม หากรับประทานเข้าไปมาก ๆ ก็จะเกิดการสะสมในร่างกายจนคุณเป็นโรคมะเร็ง ได้แก่ มะเร็งในเม็ดเลือด มะเร็งในกระเพาะอาหาร มะเร็งในกระเพาะปัสสาวะ และเนื้องอกในสมอง แต่ความอันตรายยังไม่หมดเพียงแค่นี้ เพราะอย่าลืมว่าไส้กรอกจะไม่สามารถขึ้นรูปเป็นแท่งยาวถ้าไม่มี “ถุงหลอด” แน่นอนว่าเจ้าถุงหลอดนี้คงต้องไม่ธรรมดาแน่ เพราะมันผลิตมาจากคอลลาเจนสังเคราะห์ ซึ่งมีสารที่ก่อให้เกิดโรคมะเร็ง เนื่องจากมีไขมันเป็นส่วนประกอบอยู่มาก และเมื่อคุณนำไปย่างหรือปิ้งแล้วละก็ จะทำให้เกิดสารพิษที่น่ากลัวที่เรียกว่า “อะคริลิไมด์” (Acrylimides) ซึ่งก็เป็นสารก่อมะเร็งเช่นกัน ดูสิ…แค่ไส้กรอกเมนูเดียว คุณก็ได้รับสารก่อมะเร็งมากมายแล้ว T-T
  2. แฮมเบอร์เกอร์ คุณรู้หรือไม่ว่าแฮมเบอร์เกอร์นั้นอุดมไปด้วยเชื้อแบคทีเรียที่เกิดขึ้นในระหว่างขบวนการทำ (รอเพื่อที่จะนำเนื้อแฮมเบอร์เกอร์เหล่านั้นมาปรุงแต่งรสชาติ) ทำให้เกิดการเน่าเสีย ผู้ผลิตบางรายจึงนิยมใช้สารเคมีบางชนิดเข้ามาช่วยในการกำจัดกลิ่นและสีที่จะเปลี่ยนไปของเนื้อแฮมเบอร์เกอร์ ส่วนความอร่อยของแฮมเบอร์เกอร์ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่อันตราย เพราะความอร่อยนั้นมาจาก “ผงชูรส” นั่นเอง โดยสารเคมีที่มีอยู่ในผงชูรสจะทำให้คุณวิงเวียนศีรษะ คอแห้ง เกิดอาการแพ้ และมันยังทำให้คุณอ้วนได้อีกด้วย ซึ่งสิ่งเหล่านี้เองก็เป็นบ่อเกิดของโรคเกี่ยวกับทางเดินอาหารและอาจกลายเป็นโรคมะเร็งในเวลาต่อมาได้ ทางที่ดีคุณควรรับประทานมันให้น้อยลง หรือไม่รับประทานเลยก็จะยิ่งดีต่อร่างกายของคุณ
4. เฟรนช์ฟรายส์ เมนูอุปสรรคความสวยของผู้หญิงอย่างแท้จริง ! ด้วยการทอดที่ใช้ต้องใช้น้ำมันเป็นจำนวนมาก มันจึงทำให้คุณอ้วนได้ไม่ยากนัก และการทอดมันฝรั่งนั้นจะต้องใช้ความร้อนสูง และเมื่ออยู่ในอุณหภูมิที่สูงแล้ว สารเคมีที่ชื่อว่า “อะคริลิไมด์” ก็จะปรากกฎตัวออกมา ซึ่งเจ้าสารนี้มันเป็นสารก่อมะเร็ง อีกทั้งน้ำมันที่ใช้ทอดซ้ำไปมาตลอดวัน จะทำให้เกิดการ “ออกซิไดส์” และทำให้เกิดสารปนเปื้อนในมันฝรั่งทอด และส่งผลเสียต่อสุขภาพของคุณ ทำให้ร่างกายได้รับสารก่อมะเร็งในที่สุด ถ้าอยากกินจริง ๆ คุณควรซื้อมันฝรั่งมาทอดเองที่บ้านด้วยน้ำมันใหม่ก็ดูจะปลอดภัยขึ้นมาหน่อย
5. พิซซ่า อาหารที่ประกอบไปด้วยเนยหรือชีส หากรับประทานมาก ๆ ก็อาจทำให้อ้วนได้ง่าย ๆ แป้งที่นำมาใช้ทำก็เป็นแป้งขัดสีที่แทบจะไม่มีวิตามินและเกลือแร่หลงเหลืออยู่แล้ว ส่วนขั้นตอนการอบพิซซ่าที่ต้องใช้ความร้อนสูงยังทำให้เกิดสารพิษ “อะคริลิไมด์” ซึ่งมีอันตรายต่อร่างกาย อีกทั้งการเพิ่มส่วนผสมต่าง ๆ ลงไปบนหน้าพิซซ่าไม่ว่าจะเป็นไส้กรอกหรือเบคอน รวมไปถึงไขมันต่าง ๆ ร่างกายก็ยิ่งพบกับความเสี่ยงต่อสุขภาพสูงเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นโรคมะเร็ง โรคอ้วน และโรคต่าง ๆ อีกมากมาย
6.   ไก่ทอด ทราบหรือไม่ว่าการรับประทานไก่ทอดแต่ละชิ้น คุณจะได้รับพลังงานจากมันมากถึง 340 แคลอรี่เลยทีเดียว อีกทั้งยังได้รับไขมันที่เกินขนาดจากไก่ทอดและแป้งขนมปังกรอบซึ่งเป็นสาเหตุของโรคอ้วน และยังมีสารปนเปื้อนประเภทสารอะลูมิเนียมในไก่ทอด ที่เป็นอันตรายอย่างมากต่อระบบการทำงานของสมองและระบบเมตาบอลิซึมในร่างกาย นอกจากนี้รสชาติที่กลมกล่อมก็อาจต้องแลกมาด้วยการปรุงรสด้วยผงชูรสที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ เมื่อสะสมอยู่ในร่างกายมากขึ้นจนถึงระดับที่ไม่สามารถกำจัดออกไปได้ คราวนี้ละ…โรคต่าง ๆ ก็จะถามหาคุณแล้ว และแน่นอนโรคมะเร็งคือโรคแรกที่จะมาถามหาคุณ !
ไก่ทอด


7.  เบคอน / แฮม เบคอนหรือความจริงแล้วก็คือ หมูสามชั้นติดมันที่ถูกสไลด์ให้เป็นแผ่นบางนั่นเอง แน่นอนว่ามันต้องอุดมไปด้วยไขมัน ไขมัน และไขมัน ! ที่คุณอาจมีสิทธ์อ้วนได้แบบงง ๆ และคอเลสเตอรอลในเส้นเลือดก็อาจอุดตันจนก่อให้เกิดโรคหัวใจได้โดยที่คุณไม่ตั้งใจ แถมเบคอนยังมีส่วนผสมของดินประสิว ซึ่งอาจเปลี่ยนเป็น “สารไรโตรซามีน” ที่สารก่อให้เกิดโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้ด้วย ส่วนแฮมก็ใช่ย่อย เพราะมีทั้งไขมัน สารกันบูด และสารไนโตรซามีน ซึ่งเป็นตัวก่อมะเร็ง เช่นเดียวกับเบคอนและไส้กรอก

8. กากหมู สิ่งที่คุณได้นอกจากความอร่อยมันก็คือ ไขมันล้วน ๆ ที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพเป็นอย่างมาก เพราะพวกมันจะเข้าไปเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น โรคความดันโลหิตสูงจนอาจทำให้เส้นเลือดในสมองแตก โรคหลอดเลือดตีบตัน และนำไปสู่สาเหตุการเกิดโรคหัวใจขาดเลือด และหัวใจวายในที่สุด นอกจากนี้ร่างกายของคุณยังเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งมดลูก มะเร็งลำไส้ มะเร็งทวารหนัก มะเร็งเต้านม และมะเร็งปอด ดูสิว่ามันน่ากลัวแค่ไหน

9. เนื้อวัว / เนื้อหมู / เนื้อไก่ / เนื้อปลา ความจริงแล้วมนุษย์เราเป็นสัตว์กินพืชมาแต่ไหนแต่ไร ร่างกายจึงถูกแบบมาให้รองรับอาหารประเภทพืชผักผลไม้มากกว่าเนื้อสัตว์ แต่ใครจะสนใจ…ก็ในเมื่อเนื้อสัตว์ที่เรารับประทานอยู่นั้นอร่อยกว่าเห็น ๆ นั่นแหละคือสาเหตุของปัญหาสุขภาพต่าง ๆ ที่ตามมามากมาย เนื้อสัตว์นั้นเป็นอาหารอันตรายที่เราอาจคาดไม่ถึง เพราะพวกมันเป็นแหล่งโปรตีนชั้นเยี่ยมของมนุษย์และเซลล์มะเร็ง และมีสารพิษต่าง ๆ มากมายที่ก่อให้เกิดอันตรายกับร่างกาย คุณรู้หรือไม่ว่าเนื้อสัตว์ที่เรารับประทานกันอยู่ทุกวันนี้มันมีสารปนเปื้อนที่เป็นอันตรายอยู่มากแค่ไหน อย่างแรกเลยก็คือ สารเร่งเนื้อแดง สาเหตุของโรคหัวใจ, ยาปฏิชีวนะประเภทคลอแรมแฟนิคอล (Chloramphenicon) และยาในกลุ่มไนโตรฟูแลม (Nitrofurams) ที่เป็นสาเหตุของโรคมะเร็ง นอกจากนี้ยังมีสารเคมีอื่น ๆ อีกมากมายที่เกิดขึ้นเองจากสัตว์ขณะที่พวกมันกำลังถูกฆ่า ซึ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสาเหตุของการเกิดโรคมะเร็งด้วยเช่นกัน และเรื่องที่น่าจกใจกว่านั้นก็คือ คนกลุ่มที่บริโภคเนื้อสัตว์เพียงอย่างเดียวนั้นจะมีอายุสั้นมากจนน่าตกใจ อย่างชาวเอสกิโมที่บริโภคเนื้อสัตว์เป็นอาหารหลักก็มีอายุเพียง 27 ปีเท่านั้น !! ในทางกลับกันกลุ่มคนที่บริโภคแต่พืชผักผลไม้อย่างเดียว ล้วนมีอายุเฉลี่ยที่ยืนยาวราว 110 ปี !! คราวนี้คุณพอจะเห็นถึงความแตกต่างของการบริโภคขึ้นมาบ้างแล้วยัง ?
อาหารให้โทษต่อร่างกาย
10. เนื้อบด / หมูบด / ไก่บด / เนื้อปลาขูด ในเนื้อบดสำเร็จรูปเหล่านี้จะมีสารบอแรกซ์เป็นส่วนผสมอยู่ เมื่อร่างกายได้รับสารบอแรกซ์สะสมมากเข้า อาการผิดปกติต่าง ๆ ก็จะแสดงออกมา ที่เห็นได้ชัดก็คือ คุณจะเบื่ออาหาร ร่างกายอ่อนเพลีย ผิวหนัง ตับ ไต และเยื่อตามีอาการอักเสบ หนังตาบวม น้ำหนักตัวลด และมีอาการเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ (มิน่าละ…) และอาการของคุณจะหนักมากขึ้นถึงขั้นเสียชีวิต เพราะฉะนั้นคุณไม่ควรเสี่ยงกับความสะดวกสบายแบบสำเร็จรูปจะดีกว่า แต่ให้เปลี่ยนมาซื้อแบบเป็นชิ้น ๆ และนำมาสับเองก็ดูจะปลอดภัยกว่า แต่ทั้งนี้ก็ควรจะเลือกซื้อเนื้อสัตว์ที่ปลอดภัยด้วย




15 เคล็ดลับเรียนเก่ง...จากนักเรียนระดับหัวกะทิ


15 เคล็ดลับเรียนเก่ง...จากนักเรียนระดับหัวกะทิ


เคยสงสัยกันบ้างหรือไม่ว่าคนที่เรียนเก่ง อันดับต้นๆ ของห้อง ของโรงเรียน หรือเรียนเก่งไปถึงระดับประเทศ เขาเหล่านั้นมีเคล็ดลับ และเทคนิควิธีในการเรียนอย่างไร??? วันนี้ Life on campus ได้ไปเสาะแสวงหาคำตอบจากนักเรียนเกรด “A” เคล็ดลับดีๆ มีประโยชน์เหมาะสำหรับน้องๆ ที่ต้องการจะเปลี่ยนแปลงตัวเอง จากเด็กเรื่อยๆ เปื่อยๆ มาเป็นเด็กเรียนระดับหัวกะทิ ในระยะเวลาอันรวดเร็ว ด้วยเทคนิคที่จะมาช่วยให้การเรียนง่ายขึ้น ไม่ต้องไปนั่งอ่านหนังสือแบบอัดแน่นตอนสอบ หนัก เหนื่อย เครียด อ่านเท่าไหร่ก็ไม่เข้าหัวสักที กับ "15 เคล็ดลับเรียนเก่ง...จากนักเรียนระดับหัวกะทิ" ลองไปฝึกทำกันดูได้ผลแน่คอนเฟิร์ม!!!

15 เคล็ดลับเรียนเก่ง...จากนักเรียนระดับหัวกะทิ

1. พวกเขาไม่ 'อ่าน' ตำราเรียน
    
        อย่าเพิ่งเข้าใจผิดว่าการอ่านตำราเรียนเป็นสิ่งที่ เหล่าเด็กเรียนเขาไม่ทำกัน แต่เรากำลังจะบอกว่า การอ่านตำราเรียนทั้งหมด เป็นสิ่งที่ทำแล้วเกิดประสิทธิภาพน้อยมาก เด็กเก่งๆ หัวกะทิส่วนใหญ่พวกเขาจะไม่อ่านตำราเรียน แต่จะใช้วิธีลงมือปฏิบัติแทน “แก้โจทย์ปัญหา และการทำแบบฝึกหัด” การหาความรู้เพิ่มเติมจากการใช้ Google, อ่านจากช็อตโน้ต และการหาข้อสอบเก่าๆ มาทำ สิ่งเหล่านี้จะทำให้เกิดประโยชน์สูงสุดในระยะเวลาอันสั้น ดีกว่าต้องมานั่งอ่านหนังสือกองโตเป็นไหนๆ
    
       2. ทำความเข้าใจหัวข้อที่เรียนและอธิบายด้วยคำพูดของเราเอง
    
        สิ่งที่สำคัญที่สุดในการเรียนก็คือ “ความเข้าใจในบทเรียน” นั้นๆ ภายหลังจากที่คุณครูหรืออาจารย์สอนเสร็จ พยายามจดโน้ตย่อบทเรียนสั้นๆ ด้วยคำพูดของเราเอง จับใจความสำคัญของบทเรียน และนำมาวิเคราะห์ให้ได้ว่าสิ่งที่เขียนอยู่ในหนังสือและที่อาจารย์ได้สอนมาอะไรคือ “หัวใจหลัก” อธิบายสั้นๆ ด้วยคำพูดของเราเอง เขียนลงไปในสมุดเพื่อเป็นการสรุปย่อ และยังสามารถนำมาทบทวนก่อนสอบได้อีกด้วย เพียงเท่านี้การเรียนก็จะไม่ใช่เรื่องยากสำหรับคุณอีกต่อไป

3. เด็กเรียนเก่ง...ไม่กลัวที่จะถาม!!!
    
        ดังคำกล่าวของ William Arthur Ward ที่ว่า “Curiosity is the wick in the candle of learning. ความกระหายใคร่รู้คือไส้เทียนของเทียนแห่งการเรียนรู้” สำหรับเด็กที่เรียนดีเรียนเก่ง สังเกตได้ว่า “พวกเขาจะไม่กลัวที่จะถาม” เมื่อเกิดความสงสัย หรือไม่เข้าใจตรงส่วนไหนจดคำถามนั้นไว้ แล้วให้อาจารย์ หรือเพื่อนที่เข้าใจอธิบายให้ฟัง จงอย่ากลัวที่จะถามคำถาม “โง่ๆ” และอย่าใช้การท่องจำอย่างไม่เข้าใจ เพราะการเรียนแบบนั้นจะไม่ได้ผลและถือเป็นข้อผิดพลาดอย่างใหญ่หลวงเลยทีเดียว
    
       4. พวกเขา...ชอบตั้งคำถาม?
    
        ถ้าอาจารย์สอนว่า “โทมัส เจฟเฟอร์สัน ชายผู้ที่ฉลาดที่สุด และยากจนที่สุด ผู้ที่เข้าร่วมในการร่างสัญญาประกาศอิสรภาพอันมีชื่อเสียง ในปี ค.ศ.1776”
    
       เด็กนักเรียนทั่วไปอาจจะตั้งใจฟัง พร้อมกับจดลงในสมุดบันทึกทุกคำถามที่อาจารย์บอก และพยายามที่จะจำสิ่งเหล่านี้ให้ได้ แต่ถ้าเป็นเด็กเรียนเก่ง พวกเขาจะพยายามตั้งคำถาม

หลังจากนั้นพวกเขาก็จะเริ่มค้นหาคำตอบจาก google หรือใน วิกิพีเดีย เพื่อหาประวัติเกี่ยวกับโทมัส เจฟเฟอร์สัน, รูปภาพเก่าๆ และความสำคัญเกี่ยวกับคำประกาศอิสรภาพที่บรรพบุรุษผู้นี้เป็นผู้ร่วมสร้างมา กระบวนการเรียนรู้เหล่านี้จะช่วยให้จำเหตุการณ์สำคัญได้มากขึ้น จนเรียกได้ว่าฝังลึกลงไปในสมอง เพราะนี่คือพลังแห่งการตั้งคำถาม นั่นเอง
5. เข้าใจโครงสร้าง ไม่พยายามท่องจำ
    
       
เคล็ดลับสำคัญสำหรับเด็กเรียนเก่ง คือ พวกเขาจะพยายามทำความเข้าใจในโครงสร้างต่างๆ ของบทเรียน และเนื้อหานั้นๆ มากกว่าการท่องจำ เพราะการพยายามจำสิ่งต่างๆ มีผลกระทบต่อการจำอะไรไม่ได้เลย เมื่อเราเข้าใจโครงสร้างต่างๆ แล้ว เราก็จะจำได้ไปเอง ต่างจากการท่องจำเพียงอย่างเดียว เมื่อเจอโจทย์หรือข้อสอบที่พลิกแพลงไปจากที่ท่องมาแล้วก็อาจจะทำไม่ได้ เพราะไม่รู้ที่มาที่ไปและวิธีปรับใช้

15 เคล็ดลับเรียนเก่ง...จากนักเรียนระดับหัวกะทิ

6. พวกเขาทดสอบตัวเองบ่อยๆ     
       
การทดสอบตัวเองบ่อยๆ จะทำให้สมองของคุณสามารถเชื่อมต่อกับเนื้อหาใหม่ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ วิธีนี้จะทำให้คุณรู้ตัวเองได้อย่างทันทีและชัดเจนว่า เรามีความรู้ความเข้าใจในเนื้อหา บทเรียน ความรู้ใหม่ๆ หรือไม่? ในต่างประเทศได้ทำการวิจัยแล้วว่าวิธีนี้จะช่วยให้จำบทเรียนได้ดียิ่งขึ้น วิธีคือภายหลังจากเรียนเสร็จแล้ว จะมีการทำแบบทดสอบโดยแบ่งเป็น 5 นาที, 2 วัน และ 2 สัปดาห์ต่อมา จะช่วยให้จำได้แม่นขึ้นมากกว่าการเรียนเพียงอย่างเดียว หรือทำเป็นการจำลองการทำข้อสอบเสมือนจริง มีการจับเวลา และจำนวนข้อสอบ ถือเป็นการฝึกตัวเองไปในตัวด้วย
    
       
7. ทำสิ่งที่นอกเหนือจากการฟังบรรยาย
    
       
หลายครั้งที่การฟังบรรยายเป็นสิ่งที่น่าเบื่อสำหรับคุณ อาจารย์อาจจะพูดเร็วเกินไปจนคุณจดไม่ทัน หรือพูดช้ามากจนอยากหลับ สำหรับเด็กเรียนเก่งพวกเขามีวิธีจัดการกับสิ่งน่าเบื่อต่างๆ เหล่านี้ด้วยวิธีการ 
    
       
- ฉันจะไม่ไปไหน แม้ว่ามันจะน่าเบื่อ เพราะเวลาที่ดีที่สุดคือ "เวลาในห้องเรียน"
       - อ่านบทเรียนล่วงหน้าก่อนฟังบรรยาย
       - ตั้งคำถาม จากการอ่านล่วงหน้า เพื่อมาหาคำตอบจากการฟังบรรยาย
       - โฟกัสไปที่ปัญหาที่เกิดขึ้นและจดลงไปในสมุดบันทึก พยายามจับใจความสำคัญในสิ่งที่อาจารย์สอน และหัวข้อที่จะใช้ในการสอบ
       สิ่งเหล่านี้จะทำให้การฟังบรรยายมีประสิทธิภาพมากขึ้น สามารถนำมาอ่านทบทวนในภายหลังได้ในระยะเวลาสั้นๆ

8. ใช้เครื่องมือการศึกษาออนไลน์เป็นประจำ
    
       
อย่าเชื่อทุกอย่างเพียงเพราะอาจารย์สอน อย่ายึดติดอยู่กับตัวอย่างบนกระดานดำ หรืออ่านแค่ในตำราเรียน ยังมีความรู้อีกมากมายที่เราสามารถหาได้เพียงปลายนิ้วสัมผัส เด็กเรียนส่วนใหญ่จะหาความรู้เพิ่มเติมจากการเซิร์ท 'Google' ท่องโลกออนไลน์ ลักษณะนิสัยที่ดีของผู้ที่คอยแสวงหาความรู้อยู่ตลอดเวลา ทำให้ติดเป็นนิสัย “New concept = go to Google for a quick explanation.”

9. เรียนในระยะสั้นๆ ดีกว่านั่งเรียนแบบมาราธอน
    
       
การศึกษาในระยะเวลาสั้นๆ มีแนวโน้มที่จะทำให้ตั้งใจเรียนอย่างมุ่งมั่น เพราะอย่างน้อยเราก็จะรู้ว่าอีกสักครู่ก็จะได้พักจากการเรียนแล้ว แน่นอนว่าต้องดีกว่าการเรียนแบบมาราธอนเป็นเวลาหลายชั่วโมงแน่นอน เพราะจะทำให้สภาพจิตใจเราเกิดความเบื่อหน่าย เนื่องจากระยะเวลาที่นานเกินไป เริ่มเรียนจากระยะเวลาสั้นๆ ประมาณ 30 นาที ในการอ่านหนังสือ หรือทบทวนบทเรียน ถ้านั่งเรียนในระยะเวลาที่ยาวนานเกินไปควรหาเวลาพักบ้าง
    
       
10. ศึกษาข้อสอบที่ทำผิดทันที
    
       
ภายหลังการสอบ อาจารย์มักจะบอกข้อผิดพลาดให้กับนักเรียนทราบ นักเรียนที่เรียนดีส่วนใหญ่มักจะเก็บข้อผิดพลาดของพวกจดลงในสมุดโน้ต พร้อมทั้งพยายามแก้ไขและทำความเข้าใจให้มากขึ้น ไม่เข้าใจจุดไหนก็สามารถถามอาจารย์ได้ทันที จนกว่าพวกเขาจะเข้าใจ และเมื่อเข้าใจแล้ว ก็จะจำข้อที่ผิดได้แม่นยำขึ้น สิ่งผิดพลาดเหล่านี้คือตัวบ่งชี้ “สิ่งที่จะต้องปรับปรุง” นักเรียนนักศึกษาจึงไม่ควรมองข้ามเป็นอันขาด

11. ฝึกฝนภายใต้สถานการณ์ของการสอบ 'จริง'
    
       
สุภาษิตเก่าของฝรั่งที่ว่า “practice makes perfect” หรือ “การฝึกฝนทำให้ชำนาญ” อาจไม่เป็นความจริงทั้งหมด แต่การฝึกฝนภายใต้เงื่อนไขและสถานการณ์จริง อาจเป็นสิ่งที่ทำแล้วได้ผลมากกว่า สำหรับนักเรียนที่เรียนดีเรียนเก่ง แทนที่พวกเขาจะนั่งท่องแต่ตำราเรียน ทำการบ้าน และทำแบบฝึกหัด พวกเขาจะข้ามขั้นมาเป็นการทำแบบทดสอบโดยกำหนดเงื่อนไขให้เหมือนกับสถานการณ์ที่พวกเขาต้องเจอตอนสอบจริงๆ เพื่อเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพให้กับตัวเอง นั่งทำข้อสอบภายในห้องที่เงียบสงบ ตั้งเวลาด้วยนาฬิกาปลุกให้เท่ากับเวลาในห้องสอบ และตั้งใจทำข้อสอบอย่างจริงจังและมีสมาธิ ทำบ่อยๆ จะช่วยลดความกดดันไปได้เยอะเลยทีเดียว
    
       
12. ทำข้อสอบเก่าเยอะๆ
    
       
อีกหนึ่งเคล็ดลับที่เด็กเรียนเก่งกระซิบบอกมาว่า พวกเขามักจะหาข้อสอบเก่าๆ มาทำ ฝึกทำบ่อยๆ จะได้จำแม่นๆ แม้เราจะไม่รู้ว่าแต่ละปี หรือแต่ละเทอมข้อสอบจะออกอะไร แต่แนวข้อสอบส่วนใหญ่ก็จะออกซ้ำๆ แนวเดิมๆ อาจจะเจอคำถามที่คล้ายๆ กัน ที่เราเคยผ่านหูผ่านตามาบ้าง ที่สำคัญข้อสอบเก่าก็เปรียบเสมือนหินลับมีด ลับสมองของเราให้คมกริบ ก่อนลงสนามจริงๆ แบบนี้เกรด “A” คะแนนเต็ม จะไปไหนเสีย ยิ่งตอนนี้สามารถดาวน์โหลดข้อสอบเก่าๆ มาทำได้สะดวกสบายมากขึ้นอีกด้วย
    
       
13. พวกเขานอน...เยอะมาก
    
       
หลายคนคงคิดว่าเด็กเรียนเก่งต้องนั่งเรียนอย่างหนักอดหลับอดนอน เพื่ออ่านหนังสือเยอะๆ แต่นั่นเป็นความคิดที่ผิด เพราะพวกเขานอนเยอะ และพักผ่อนอย่างเพียงพอ จึงทำให้การเรียนมีประสิทธิภาพมากขึ้น มีผลการวิจัยออกมาแล้วว่าการนอนหลับสนิทจะช่วยเพิ่มหน่วยความจำ และระบบจะจัดเก็บความทรงจำได้อย่างมีประสิทธิภาพ ที่สำคัญยังทำให้คุณเข้าใจและเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ได้เป็นอย่างดีและมีไหวพริบปฏิภาณเร็วขึ้นนั่นเอง

15 เคล็ดลับเรียนเก่ง...จากนักเรียนระดับหัวกะทิ

14.เด็กเรียนเก่ง...ไม่ใช่เจ้าแห่งไฮไลท์
    
       
การไฮไลท์ที่ดีควรจะเน้นเฉพาะคำสำคัญ ไม่ใช่ทั้งย่อหน้า ถ้าต้องการที่จะเขียนโน้ตเพิ่มเติมบางอย่างให้เขียนแยกออกมา, ขีดเส้นใต้ และเขียนคำอธิบายที่เชื่อมโยงกันเพิ่มไปด้วย หรือถ้าจะให้ดีที่สุด คือการเขียนชอตโน้ตแบบสั้นๆ ด้วยภาษาของคุณเอง เพื่อเป็นการสรุปความเข้าใจไปด้วย นักเรียนบางคนขีดไฮไลท์แทบจะทั้งหน้า จึงไม่เห็นความแตกต่างและจุดสำคัญที่ควรเน้นนั่นเอง
        
    
       
15. เด็กเรียนเก่งต้อง “รอบคอบ” และมี “ความรับผิดชอบ” สูง
    
       
สิ่งหนึ่งที่เราจะเห็นได้จากเด็กเรียนดีหลายคนนั่นก็คือ “ความรับผิดชอบ” ที่ทำให้พวกเขาต่างจากเด็กทั่วไป รับผิดชอบต่อการเรียน ทำการบ้าน ทำรายงาน อ่านหนังสือ ทำแบบฝึกหัด รู้หน้าที่ว่าจะต้องทำอะไร วางแผนการใช้ชีวิตของตัวเองได้ ตั้งใจมุ่งมั่นที่จะไปให้ถึงจุดหมายที่ได้ตั้งเป้าไว้ เด็กเรียนเก่งมักมีความรับผิดชอบ นอกจากรับผิดชอบชีวิตแล้ว ในการเรียนและการทำข้อสอบเราก็ต้องมีความรอบคอบสูง อาจมีคนที่เก่งเหมือนกันแต่จะมาเฉือนกันตรงความรอบคอบนี่เอง

แหล่งที่มาของข้อมูล : http://www.manager.co.th/Campus/ViewNews.aspx?NewsID=9580000028939

ปัญหาทางการศึกษาของเด็กไทย



การศึกษาของเด็กไทยที่ผ่านมา มีความพยายามในการยกระดับมาตรฐานทางการศึกษาของเด็กและเยาวชนเพื่อให้ได้มาตรฐานเป็นที่ยอมรับ เนื่องจากในการวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของเด็กไทยในแต่ละปี ผลที่ออกมามักอยู่ในเกณฑ์ที่ต่ำกว่ามาตรฐาน

แม้ประเทศไทยจะมีการทุ่มงบประมาณเพื่อพัฒนาการศึกษา ไม่ว่าจะเป็นโครงการเรียนฟรี 15 ปี รวมถึงโครงการผลิตครูการศึกษาขั้นพื้นฐานระดับปริญญาตรี (หลักสูตรครู 5 ปี) การประเมินวิทยฐานะ ซึ่งทำให้ครูที่มีผลงานดีได้รับผลตอบแทนสูงขึ้น แต่เหตุใดปัญหาการศึกษาของเด็กไทยยังมีการประเมิณว่าอยู่ในเกณฑ์ต่ำเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ซึ่งปัญหาด้านการเรียนของเด็กไทยในปัจจุบันอาจวิเคราะห์ได้ว่ามาจากหลายประการ

ปัจจัยหนึ่ง ที่ทำให้เด็กมีผลการเรียนอ่อนลง มาจากความสนใจของตัวเด็กเองที่พบว่าเด็กให้ความสนใจเรื่องของเกม และสื่อเพื่อความบันเทิงมากขึ้น ทำให้ความสนใจในการศึกษาหาความรู้ลดน้อยลง ทั้งนี้ เนื่องมาจากสภาพสังคมไทยเปลี่ยนแปลงไปสู่การเป็นครอบครัวเดี่ยว พ่อแม่ทุ่มเวลาหาเงิน ทำงาน และใช้เงิน ใช้เทคโนโลยีเลี้ยงดูเด็ก เช่น ซื้อทีวี ซื้อเครื่องเล่นเกมส์คอมพิวเตอร์ให้ลูกเล่นอยู่บ้าน เพราะคิดว่าดีกว่า ปลอดภัยกว่าที่จะให้ลูกไปเล่นนอกบ้าน ซึ่งจะทำให้เกิดผลเสียต่อพัฒนาการ

ปัญหาจากครูผู้สอน ทั้งในเรื่องเงินเดือน และการฝึกฝนเรียนรู้ของครูให้เท่าทันศาสตร์ต่างๆ เพื่อจะไปสอนให้ทันกับเทคโนโลยีและความรู้ใหม่ๆ โดยที่ผ่านมาสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (องค์การมหาชน) (สมศ.) เปิดเผยผลการประเมินคุณภาพภายนอก ทั้งระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน ระดับอาชีวศึกษาและระดับอุดมศึกษา ซึ่งพบว่ามีสถาบันการศึกษาที่ไม่ผ่านการรับรองผลคิดเป็นร้อยละ 19.59

********************************************************************************************************************
ดังนั้นหากมองย้อนถึงปัญหาทางการศึกษาของเด็กไทย และการกระตุ้นเม็ดเงินเพื่อช่วยเหลือจึงอาจต้องมุ่งเน้นที่การพัฒนาบุคคลากรให้มากยิ่งขึ้น เพราะการที่บุคคลากรด้านครูยังขาดการพัฒนาทางความรู้และการศึกษา ก็จะส่งผลให้ไม่เกิดการพัฒนาทางการเรียนการสอน และทำให้เด็กไม่สนใจเรียนในที่สุด และท้ายที่สุดแล้วก็จะส่งผลให้บัณฑิตที่ผลิตออกไปนั้น ไม่สามารถเข้าสู่ตลาดแรงงานในสาขาที่ตลาดแรงงานในประเทศต้องการ และขาดแคลนแรงงานในที่สุด